*Daily Life*

Mouse


http://thaicursor.blogspot.com getcode

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

**โรคภูมิแพ้ (Allergy)**



โรคภูมิแพ้ หรือโรคแพ้ (Allergy) หมายถึง คือโรคที่ร่างกายมีความไวต่อสารบางอย่างในธรรมชาติ หรือสภาพแวดล้อมรอบๆตัว  ซึ่งสารเหล่านี้สามารถก่อให้อาการแพ้ หรือภูมิแพ้(Allergen) กับร่างกาย  เราเรียกสาร หรือ สิ่งกระตุ้น ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือภูมิแพ้(Allergen) ว่า “สารก่อภูมิแพ้ (Allergens)”  ซึ่งอาจเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น การหายใจ การรับประทานอาหาร การสัมผัสทางผิวหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก หรือโดยการฉีดหรือถูกกัดต่อยผ่านผิวหนัง  ซึ่งสาร หรือ สิ่งกระตุ้น ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือภูมิแพ้(Allergen) มีอยู่รอบตัวเราในธรรมชาติ และสามารถกระตุ้นอวัยวะต่างๆ จนก่อให้เกิดอาการแพ้ได้
 


โรคภูมิแพ้ หรือโรคแพ้ (Allergy) จัดว่าเป็นโรคเรื้อรังและจัดว่าเป็นโรคกรรมพันธ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์จากพ่อ แม่ไปสู่ลูกหลานได้เช่นเดียวกับโรคทางกรรมพันธ์ชนิดอื่นๆ เช่นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ เป็นต้น
คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคแพ้ (Allergy) นี้ร่างกายจะมีความไวต่อสารที่เป็นตัวกระตุ้นในสภาพแวดล้อมที่เข้าสู่ร่างกาย หรือที่ร่างกายได้สัมผัส  เมื่อสารเหล่านั้นเข้าสู่ร่างกายก็จะทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้น ซึ่งก็แล้วแต่ว่า จะเกิดกับอวัยวะใด ในบางรายอาจมีอาการแพ้อย่างรุนแรง  ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากได้รับสารแพ้ภายในเวลาไม่เกินครึ่งชั่งโมง  อาการแพ้อย่างรุ่นแรงที่มักพบได้แก่ อาการแน่นหน้า อกความดันโลหิตต่ำ และอาจเสียชีวิตได้ สาเหตุเป็นได้ทั้งจากแพ้อาหาร เช่นในบางรายที่แพ้กุ้ง ปู แพ้ยา แพ้เกสรดอกไม้ แพ้แมลงต่างๆ เป็นต้น

-เพศ ช่วงอายุที่สามารถเกิดโรคภูมิแพ้ได้
โรคภูมิแพ้สามารถเกิดได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเด็กอายุตั้งแต่ 5 - 15 ปี มักพบว่าเป็นบ่อยกว่าช่วงอายุอื่นๆ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรคแสดงออกหลังจากได้รับ “สิ่งกระตุ้น” มานานเพียงพอ อย่างไรก็ตามบางคนอาจเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้ในตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้
     
-สารก่อภูมิแพ้ที่พบทั่วๆไปในธรรมชาติ
อย่างที่กล่าวแล้วว่า  “สารก่อภูมิแพ้ (Allergens)” หรือ สิ่งกระตุ้นที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือภูมิแพ้(Allergen) นั้นมีอยู่ตามธรรมชาติรอบตัวเรา  สารก่อภูมิแพ้ที่มักพบบ่อยๆ ได้แก่
1.1 ฝุ่นและตัวไรฝุ่นในบ้าน
        ปกติแล้วฝุ่นที่ก่อให้เกิดภูมแพ้ได้ มักจะปะปนอยู่ในฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 0.3 มม. มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และตัวไรฝุ่นที่อยู่ในเครื่องหนอนภายในบ้าน เช่น ผ้าปูที่นอน หมอน เป็นต้น (อ่าน ภูมิแพ้จากไรฝุ่น )
1.2 เชื้อรา
        มักปะปนอยู่ในบรรยากาศ ตามห้องที่มีลักษณะอับชื้น
1.3 เกสรดอกหญ้า เกสรดอกไม้ ตอกข้าว วัชพืช
        เกสรดอกหญ้า เกสรดอกไม้ มักมีปนอยู่ในอากาศอยู่แล้ว ซึ่งอาจถูกกระแสลมพัดมาจากที่ต่างๆ ดั้งนั้นโอกาสที่จะสัมผัสจึงมีสูง หรืออาจเป็นลักษณะขุยๆ ติดตามมุ้งลวดหน้าต่าง เกสรดอกหญ้าที่ปลิวมาตามสายลม
1.4 ขนสัตว์
        ขนของสัตว์เลี้ยงเป็นต้นเหตุของโรคภูมิแพ้ เช่น ขนแมว ขนสุนัข ขนนก ขนเป็ด ขนไก่ ขนกระต่าย ขนนก ขนเป็ด ขนไก่ เป็นต้น
1.5 นุ่น ฟองน้ำ ยางพารา ใยมะพร้าวที่ใช้ยัดที่นอนและหมอน เมื่อใช้ไปเป็นระยะเวลานานก็จะสามารถเป็นสารก่อภูมิแพ้ได้เช่นกัน
 
1.6 อาหารบางประเภท
      อาหารบางอย่างจะเป็นตัวการของโรคภูมิแพ้ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวก อาหารทะเล เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา แมงดาทะเล ปลาหมึก อาจทำให้เกิดลมพิษผื่นคันได้  ซึ่งบางคนอาจมีอาการแพ้อย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้มีอาการบวมตามตัว หายใจไม่ออก เป็นต้น
1.7 อาหารประเภทหมักดอง เช่น ผักกาดดอง เต้าเจี้ยว เป็นต้น
1.8 ผลไม้จำพวกที่มีรสเปรี้ยวจัด กลิ่นฉุนจัด เช่น ทุเรียน ลำใย สตรอเบอรี่ กล้วยหอม และอื่นๆ  เป็นต้น
1.9 ยาแก้อักเสบ
        ยาที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อยๆ นั้นได้แก่ ยาปฎิชีวนะ พวกเพนนิซฺลิน เตตราไวคลิน นอกจากนั้นยังมีพวกซัลฟา ยาลดไข้ ยาแก้ปวดพวกแอสไพริน ไดไพโรน ยาระงับปวดข้อปวดกระดูก อาจทำให้เกิดลมพิษผื่นคัน เป็นต้น
1.10 แมลงต่างๆ
        แมลงที่มักอาศัยอยู่ภายในบ้าน เช่น แมลงสาบ แมงมุม มด ยุง ปลวก และแมลงที่อาศัยอยู่นอกบ้าน เช่น ผึ้ง แตน ต่อ มดนานาชนิด เป็นต้น

-โรคที่จัดว่าอยู่ในกลุ่มโรคภูมิแพ้
โรคที่จัดว่าอยู่ในกลุ่มโรคภูมิแพ้ ได้แก่
1.โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคแพ้อากาศ
     อาการที่พบบ่อย ได้แก่  คันในจมูก จามติดกันหลายๆครั้ง น้ำมูกใสๆ ไหลมาก คัดแน่นจมูก  อาการอื่นๆ เช่น หูอื้อ ปวดมึนศีรษะ น้ำมูกไหลลงคอ เสมหะติดในคอ
2.โรคหืด ผู้ป่วยจะมีอาการไอ หอบ แน่นหน้าอก หายใจเสียงวี้ด อาจเป็นตอนออกกำลังกาย ตอนกลางคืน หรือตอนเป็นหวัดก็ได้
3.ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นผื่นคัน แห้งแดง และเรื้อรัง พบบ่อยบริเวณหน้า ข้อพับแขนขา
4.ลมพิษ ผื่นนูน  บวม  คัน ตามผิวหนังส่วนต่างๆ บางรายอาจมีอาการบวมบริเวณหน้าตาหรือปากด้วย
5.ผื่นแพ้ผิวหนังจากการสัมผัส เป็นผื่นคันจากการสัมผัสสารแพ้ต่างๆ เช่นผงซักฟอก ยาย้อมผม เครื่องสำอาง ถุงมือ โลหะ เป็นต้น
6.แพ้อาหาร มีอาการได้หลายระบบ ทั้งระบบผิวหนัง (ผื่นลมพิษ)ระบบหายใจ (คัดจมูก น้ำมูกไหล หอบ) ระบบทางเดินอาหาร (อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย) อาหารที่เป็นสาเหตุได้บ่อย คือ นมวัว ไข่ อาหารทะเล ถั่วลิสง
7.เยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้ มีอาการแสบตา คันตา ตาแดง น้ำตาไหล ขยี้ตาบ่อย เปลือกตาบวม

-รู้ได้อย่างไรว่าเป็นภูมิแพ้ **
** ขอบคุณข้อมูลจาก คลินิก หู คอ จมูกและราลิงซ์ รพ.วิภาวดี


รู้ได้อย่างไรว่าเป็นภูมิแพ้ เมื่อมีอาการและอาการแสดงดังข้างต้น ควรไปพบแพทย์เพื่อซักประวัติ และตรวจร่างกาย นอกจากนั้นแพทย์อาจทำการตรวจอื่นๆ ร่วมด้วย  เช่น การทดสอบสมรรถภาพปอด ในรายที่สงสัยว่าจะเป็นโรคหืด การทดสอบทางผิวหนัง เพื่อให้ทราบถึงสารที่ผู้ป่วยแพ้ ซึ่งทราบผลภายใน 15 นาที หรือการตรวจดูเซลล์ของเยื่อบุจมูกในกรณีของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เมื่อไหร่? ควรจะไปพบแพทย์ ควรปรึกษา และพบแพทย์ เมื่อมีอาการต่อไปนี้
• น้ำมูกไหล คัดจมูก จาม คันจมูกเรื้อรัง
• ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
• ไอมากหรือเหนื่อยเวลาเป็นหวัด ตอนออกกำลังกาย หรือตอนกลางคืน
• ผื่นคันเรื้อรังตามผิวหนังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
• เป็นลมพิษบ่อย
• สัมผัสสารบางอย่างแล้วผื่นขึ้น
• กินอาหารบางชนิดแล้วมีผื่น น้ำมูกไหล หรือแน่นหน้าอก
• คันตา แสบตา น้ำตาไหลเรื้อรัง

นวทางการรักษาโรคภูมิแพ้
1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เป็นวิธีที่สำคัญที่สุด และช่วยลดความรุนแรงของโรคได้
2. การรักษาด้วยยา มีทั้งยากิน ยาพ่นจมูก ยาพ่นปอด ยาหยอดตา ยาทาผิวหนัง ซึ่งควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
3. การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ โดยการฉีดสารสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ และค่อยๆ เพิ่มปริมาณ จนผู้ป่วยมีภูมิต้านทานต่อสารนั้นซึ่งต้องรับการฉีดอย่างสม่ำเสมอ เป็นเวลา 3-5 ปี จึงจะได้ผลดี

ปฎิบัติตนอย่างไร …..เมื่อเป็นโรคภูมิแพ้
1.ในห้องนอน   ควรมีเครื่องตกแต่งห้องน้อยชิ้นที่สุด
หมั่นทำความสะอาด และกำจัดฝุ่นละอองเป็นประจำ
2.ในกรณีแพ้ไรฝุ่น ควรทำความสะอาดเครื่องนอน (ที่นอน,หมอน,ผ้าห่ม) โดยซักด้วย น้ำร้อน  600C นาน 15-20 นาที อย่างน้อยทุก 2 สัปดาห์
3.ไม่ใช้พรม เก้าอี้เบาะหุ้มผ้า หมอนนุ่น ตุ๊กตาที่ทำจากนุ่น หรือขนสัตว์
4.ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนในบ้าน เช่น สุนัข แมว นก
5.กำจัดเศษอาหาร และขยะต่างๆ รวมทั้งปิดฝาท่อระบายน้ำเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงสาบ
6.ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศบ่อยๆ และใช้แบบที่มีเครื่องกรองอากาศชนิด HEPA filter
7.ระวังไม่ให้บ้าน ห้องน้ำ อับชื้น และไม่ควรปลูกต้นไม้ในบ้านเพราะทำให้เชื้อราเติบโต
8.อย่าไปใกล้บริเวณที่มีควันบุหรี่ ควันไฟ และบริเวณที่มีฝุ่นมาก
9.ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ หากมีอาการหอบเหนื่อยเวลาออกกำลังกาย ควรสูดยา ป้องกันอาการหอบก่อน
10.ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง เพราะบางชนิดถ้าใช้ต่อเนื่องนานอาจมีอันตรายได้
มีวิธีการรักษาโรคภูมิแพ้อีกประการหนึ่งที่เป็นการรักษาได้ผลดีพอสมควร ได้แก่การหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ให้พบแล้วนำสารก่อภูมิแพ้ที่ตรวจพบนี้นำมาผลิตวัคซีนให้ผู้ป่วย เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานสารที่แพ้ (อิมมูโนบำบัด) คือ รักษาให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานสารที่แพ้ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การรักษาเพื่อ ลดภูมิไว คือให้ร่างกายลดความไวต่อสารที่ก่อให้เกิดโรค

ที่มา:www.health-protect.com

**บุคลิกของผู้หญิง… ที่ควรเลือกเป็นภรรยา*








1.เป็นตัวของตัวเอง ควรพิจารณาคู่ครองที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองพอสมควร เพราะถ้าคุณตัดสินใจจะมีคู่ชีวิตสักคนแล้วต้องดูแลอีกฝ่ายเหมือนตัวเองเป็น พี่เลี้ยงเด็กตลอดเวลา ความรักที่มีอาจแปรเป็นความรู้สึกเหนื่อยล้าได้





2.มีสติปัญญา ผู้หญิงที่สวยอย่างเดียว เมื่ออายุมากขึ้นจะแก่แล้วแก่เลย ต่างจากผู้หญิงที่มีสมอง แต่อาจจะสวยน้อยหน่อย ผู้หญิงลักษณะนี้มีอะไรใหม่ๆ เบื้องหลังดวงตาช่างคิดให้ผู้ชายค้นหาอยู่เสมอ เธอจะไม่ยอมให้ตัวเองกลายเป็นของน่าเบื่อหน่ายง่ายๆ




3.การมีเซ็กซ์ ควร มีรสนิยมที่ไปด้วยกันได้ เช่น ถ้าคุณมีรสนิยมแบบชื่นชอบความเจ็บปวด แต่คู่ครองนิยมความนิ่มนวล ปัญหาย่อมเกิดขึ้นแน่ๆ คนจะเป็นคู่ชีวิตกันควรมีรสนิยมใกล้เคียงกัน



4.ความสวย ความ สวยขึ้นอยู่กับมุมมอง และทัศนคติของแต่ละบุคคล คนสวยของคุณอาจไม่สวยในสายตาคนอื่นก็ไม่เป็นไร เพราะคนที่เธอจะร่วมชีวิตด้วยคือคุณ คนอื่นไม่ได้มาร่วมชีวิตกับคุณด้วย

5.ความนับถือ คู่ชีวิต ควรมีความเคารพนับถือในตัวคุณ หมายถึง ยินดีรับฟังความคิด แม้ว่าอาจจะไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ก็ยังยินดีฟังไว้ก่อน รวมทั้งไม่ดูถูกบุคลิกภาพของคุณทั้งในด้านนิสัยแม้แต่ด้านสรีระ



6.ยอมให้สนุกแบบผู้ชาย เธอ ยินดีให้คุณสนุกแบบที่ผู้ชายสนุกกัน เช่น ยินดีให้คุณชวนเพื่อนสนิทมาร่วมนั่งเฮฮา เชียร์การถ่ายทอดสดฟุตบอลทีมโปรดที่ บ้าน พร้อมกับเตรียมแซนด์วิช หรือของขบเคี้ยวให้ตามสมควร



7.อย่าหาเรื่องจับผิด อย่า หาเรื่องจับผิด หญิงที่จะเป็นคู่ชีวิตที่ดีควรรู้ว่า สถานการณ์นี้จะทำให้ชีวิตครอบครัวหมดสิ้นซึ่งความสุข และเลือกวิธีอื่นได้ฉลาดกว่านี้ เธอจะรู้ว่าเมื่อใดควรพูด เมื่อใดควรปล่อยให้ผ่านไป



8.เข้ากับครอบครัว และเพื่อนได้ คู่ครอง ที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยงานในครัว แต่ต้องเข้ากับครอบครัวได้และออกไปร่วมสังสรรค์ กับเพื่อนสามีได้ในยามที่เขาขอร้อง นี่แสดงให้เห็นว่า เธอพยายามทำความรู้จักและรักบุคคลที่มีความสำคัญในชีวิต ของสามี และไม่พยายามดึงสามีออกจากเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของเขา

9.เธอรักคุณ หากคุณพบผู้หญิงซึ่งรักคุณอย่างตัวตนที่คุณเป็นจริง ๆ คุณควรถนอมเธอเอาไว้ อีก วิธีหนึ่งที่จะดูว่าเธอรักคุณจริง ๆ หรือไม่ คือ สังเกตวิธีที่เธอมองและปฏิบัติต่อคุณทุก ๆ วัน ถ้าเวลาที่คุณไปเจอหน้าเธอ แล้วไม่ได้ทำให้เธอดูดีใจ เธอไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของคุณ เธออาจยังไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับคุณ เธอเห็นคุณเป็นเพียงผู้ชายทั่วไป แต่ถ้าเสียงโทรศัพท์จากคุณทำให้เธอตื่นเต้นดีใจ นั่นเป็นสัญญาณที่ดีที่บอกว่าเธอรักคุณ



10.เธอทำให้คุณอยากทำตัวดีขึ้นกว่าเดิม ผู้ชาย ซึ่งมีแฟนสาว หรือภรรยาที่ดีมักจะพูดกันว่า อยากให้เขาทำตัวดีขึ้นกว่าเก่า ทั้ง ๆ ที่เธอไม่ได้เอ่ยปากขอหรือทำอะไรทั้งสิ้น และความรู้สึกที่ทำให้คุณอยากทำตัวเช่นนั้น เรียกว่า ?ความรัก? นั่นเอง


วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

**มหัศจรรย์เกี่ยวกับความรักมี 5 แบบ**







1.คนที่ใช่ ไม่ได้มีเพียงคนเดียว : ถ้าคุณคิดว่าคุณทำคู่แท้หลุดมือไปแล้วล่ะก็ อย่าเสียใจไปเลย โลกนี้เต็มไปด้วย ผู้ชายที่มีแนวโน้มจะเป็นคนที่ใช่เยอะแยะ "เหตุผลที่ผู้หญิงมากมายทุกข์ใจ จากการเดท ก็เพราะพวกเธอเชื่อว่า โลกนี้มีผู้ชาย แค่คนเดียวที่ถูกสร้างมาเพื่อเธอ" 



2.รักแรกพบมีจริง : มันเป็นไปได้ ที่เราจะรักใครซักคน ที่เพิ่งเจอแค่แป๊ปเดียว "ทางชีวภาพสัตว์ต้องหาคู่ให้ได้ ก่อนฤดูผสมพันธุ์สิ้นสุด ก็เลยต้องถูกตาต้องใจกันอย่างเร็ว" ในเมื่อสมองเราก็ส่งสารแบบนั้น เราก็เลยสามารถตอบโต้ ตัวกระตุ้นอย่างความชอบ ภาษากายและความเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว 




3.อยู่ห่างๆ กันบ้างก็ดี :นขณะที่คุณกำลังคลั่งรักหัวปักหัวปำ สิ่งที่คุณอยากทำก็คือเอาอกเอาใจเขา และอยากเกาะติดเขาแจได้ทั้งวันทั้งคืน "การอยู่ห่างกันทำให้สารเคมีแห่งความรัก อย่างโดพามีนและนอเรฟฟินเนฟฟิลในสมองเพิ่มผลผลิต" 




4.ความรักไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ : ความรักกระตุ้นสมองส่วนที่สัมพันธ์กับการจดจ่อไปที่แรงจูงใจ และแรงผลักดัน ซึ่งตรงข้ามกับสมองส่วนความรู้สึก เช่นความสุขหรือความเศร้า ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า ทำไมเราถึงว้าวุ่นใจเป็นพิเศษ สำหรับคนที่ทำให้ชีพจรเราเต้นรัว 




5.ความรักเป็นสิ่งเสพติด:เมื่อเราดูรูปคนรักเก่า ส่วนของสมองที่เกี่ยวข้อง กับการเสพติดแอคทีฟเป็นพิเศษเลย โดพามีนถูกหลั่งอกมา แล้วเราก็รู้สึกเคลิบเคลิ้ม จิตใจหวั่นไหวล่องลอยอย่างแรง เหมือนใช้ยาเสพติดเลย นั่นคือสาเหตุที่เราโหยหาหวานใจเราไง

**ทำสาวเสี่ยงมะเร็งเต้านม!!**




นักวิจัยเตือนสาว ๆ ผู้รักการหม่ำเป็นชีวิตจิตใจ แถมมีไลฟ์สไตล์ชอบดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และออกกำลังน้อยจนโรคอ้วนถามหา ว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมสูงสุด หลังพบหญิงสาวในประเทศตะวันตกที่มีไลฟ์สไตล์สอดคล้องกับทั้ง 3 ปัจจัยดังกล่าวถูกมัจจุราชคร่าชีวิตไปไม่น้อยในแต่ละปี แถมหากหันไปดูการใช้ชีวิตของประชากรในประเทศแถบแอฟริกาจะพบว่า อัตราการป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมนั้นต่ำกว่าถึง 4 เท่าเลยทีเดียว
      

       กองทุนวิจัยมะเร็งโลก (The World Cancer Research Fund) ออกโรงเตือนสาว ๆ ทั้งที่อยู่ในประเทศตะวันตกและส่วนอื่น ๆ ของโลกที่นิยมชมชอบวิถีชีวิตตะวันตกถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นอันตราย เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม โดยพบว่า ผู้หญิงที่อาศัยในประเทศเบลเยี่ยมนั้นเป็นโรคมะเร็งเต้านมสูงสุด (109.4 คนต่อประชากร 100,000 คน)


ตามมาด้วยประเทศฝรั่งเศสซึ่งมีผู้ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมถึง 99.7 คนต่อประชากร 100,000 คน ส่วนประเทศอังกฤษติดชาร์ตในอันดับที่ 9 ด้วยสถิติ 87.9 คนต่อประชากร 100,000 คน ขณะที่ประเทศแถบแอฟริกานั้นตรงกันข้าม เพราะมีแค่ 19.3 คนต่อประชากร 100,000 คนเท่านั้น

      
       อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญบางคนให้ความเห็นว่า สถิติที่แตกต่างกันอย่างมากนี้อาจมาจากการเก็บบันทึกข้อมูลที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศก็เป็นได้

      
       ด้านนักวิทยาศาสตร์ของประเทศอังกฤษกล่าวถึงการป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมของประชากรในประเทศว่า มีมากกว่า 18,000 เคสที่สามารถป้องกันได้ หากผู้หญิงรู้จักรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ดื่มแอลกอฮอล์แต่น้อย และหมั่นออกกำลังกาย ไม่เพียงเท่านั้น


การให้นมบุตรก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคดังกล่าวลงได้ด้วย เพราะหากหันไปมองประเทศในแถบแอฟริกาจะพบว่า ประชากรที่นั่นดื่มแอลกอฮอล์น้อยกว่าประเทศที่อ้างว่าพัฒนาแล้วมาก อีกทั้งไม่ค่อยมีคนเป็นโรคอ้วน ขณะที่อัตราการให้นมบุตรของผู้หญิงก็สูงกว่า

      
            "หากผู้หญิงเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิต หันมาออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที ลดการดื่มแอลกอฮอล์ลง (ไม่ควรเกินวันละ 1 ดริงค์) ก็จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคดังกล่าวลงได้" ดร.ราเชล ทอมป์สัน หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ของกองทุนวิจัยมะเร็งโลกกล่าว

**ชาแบบไหน เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ**



  กาแฟ และชา ต่างก็มีสารเสพติดอย่างอ่อน แต่การเลือกดื่มชาไม่เพียงให้ผลลัพธ์เท่าเทียมกับกาแฟ คือช่วยให้คึกคักกระปรี้กระเปร่า แต่ยังมีดีมากกว่า เพราะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และปกป้องร่างกายจากมลพิษรอบตัวอีกด้วย และนี่คือสรรพคุณที่น่าเลือกดื่มให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรา






ชามะลิ เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานแบบใช้สมอง และนอนดึก


ชาอูหลง เหมาะสำหรับผู้ที่รักการออกกำลังกาย หรือทำงานที่ต้องใช้แรงเสียเหงื่อมาก รวมทั้งผู้นิยมรับประทานเนื้อสัตว์


ชาเขียว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องสูดดมอากาศเป็นพิษอยู่เสมอ อาทิ ผู้ที่ขับขี่หรือสัญจรบนถนน และหนุ่มสาวนักดื่มสุรา


ชาดอกไม้ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยขยับเขยื้อนกายไปไหน และไม่ชอบออกกำลังกาย


ชาผสมน้ำผึ้ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการระบาย ท้องผูก


ชาอูหลงหรือชาเขียว เหมาะสำหรับผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง ไขมันในเลือดสูง


ชาทุกชนิด เหมาะสำหรับคนยุคไอทีที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวันทั้งคืน







**10 วิธีประหยัดกระดาษ อย่างสร้างสรรค์**




อันดับที่ 10 ส่งข้อมูลข่าวสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์

ส่งข้อมูลข่าวสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ลดการใช้กระดาษ และพลังงานในการผลิตได้มาก



อันดับที่ 9 พกผ้าเช็ดหน้า
พกผ้าเช็ดหน้า แทนกระดาษทิชชู



อันดับที่ 8 ทำถังสำหรับทิ้งขยะกระดาษโดยเฉพาะ
ทำถังสำหรับทิ้งขยะกระดาษโดยเฉพาะ เพื่อนำไปแปรรูป กลับมาใช้ใหม่



อันดับที่ 7 อ่านเอกสารแล้วส่งต่อกันในสำนักงาน
อ่านเอกสารแล้วส่งต่อกันในสำนักงาน แทนการถ่ายสำเนาหลายๆ ชุด



อันดับที่ 6 นำกระดาษปรินต์แล้วทั้งสองด้าน
กระดาษปรินต์แล้วทั้งสองด้าน สามารถบริจาคทำเป็นกระดาษหน้าที่ 3 สำหรับคนตาบอดใช้เขียนอักษรเบรลล์
  


อันดับที่ 5 ไม่รับสลิปทุกครั้งที่กด ATM
ไม่รับสลิปทุกครั้งที่กด ATM เพราะหลายๆคนรับสลิปไปแล้วเพียงแค่ดูก็ทิ้งตรงถังขยะตรงนั้น ไม่รู้ว่าจะรับทำใม



อันดับที่ 4 กระดาษหนังสือพิมพ์เหลือใช้ไปทำอย่างอื่น
กระดาษหนังสือพิมพ์ นำมาพับถุงกระดาษ ทำเปเปอร์มาเช่ หรือใช้เช็ดกระจกก็สะอาด



อันดับที่ 3 กระดาษห่อของขวัญเหลือใช้อย่าทิ้ง
กระดาษห่อของขวัญเหลือใช้อย่าทิ้ง นำมาทำการ์ดทำมือเก๋ๆ ดีกว่า



อันดับที่ 2 เลือกกระดาษรีไซเคิล
เลือกกระดาษรีไซเคิลหรือกระดาษที่มีส่วนผสมของเยื่อ Ecofiber เพื่อช่วยลดมลภาวะ



อันดับที่ 1 ใช้กระดาษให้ครบ 2 หน้า
ใช้กระดาษให้ครบ 2 หน้า เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

**ใครอยากสูงฟังทางนี้ เรามีวิธีมาฝาก**


กรรมพันธุ์ เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ถ้าพ่อและแม่ต่างก็มีทั้งยีนเตี้ยและยีนสูง ลูกที่เกิดมาจะมีโอกาสเตี้ย 25% แต่ถ้าพ่อและแม่มียีนเตี้ยทั้งคู่ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ลูกไม่สูงอย่างที่ต้องการ โดยเราสามารถประเมินส่วนสูงของลูกได้จากส่วนสูงของพ่อแม่ ตามสูตรต่อไปนี้

          ส่วนสูงพ่อ+ส่วนสูงแม่ + 2 = ส่วนสูงลูกชาย
            2

          ส่วนสูงพ่อ+ส่วนสูงแม่ - 2 = ส่วนสูงลูกสาว             2

          แม้กรรมพันธุ์จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เตี้ย แต่ก็ยังมีปัจจัยนอกเหนือจากกรรมพันธุ์ที่ช่วยเพิ่มความสูงได้ ซึ่งจะต้องอาศัยการใส่ใจจากพ่อแม่ตั้งแต่วัยแบเบาะ

ช่วงอายุกระตุ้นความสูง
  โภชนาการที่ดีและการดูแลสุขภาพไม่ให้เด็กเจ็บป่วยบ่อยจะมีผลในการเสริมความสูงของเด็กนอกเหนือจากผลทางพันธุกรรม ช่วงที่เด็กสูงเร็ว คือ ช่วงปีแรก โดยจะมีความสูงเพิ่มขึ้น 50% และอัตราการเจริญเติบโตจะชะลอลงเมื่ออายุ 2 ปี และจะมีความสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6-8 เซนติเมตรต่อปี จนกระทั่งเริ่มเข้าวัยแตกเนื้อหนุ่มสาว (โดยทั่วไป หญิงอายุ 8-13ปี ชาย อายุ 9-14 ปี) อัตราการเจริญเติบโตจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วประมาณ 2 เท่า เพราะก่อนที่จะถึงวัยแตกเนื้อหนุ่มสาว อีพิไฟเชียลเพลท (Epiphyseal plate) 

          ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อของกระดูกอ่อนที่อยู่ระหว่างข้อต่อกระดูกจะขยายและค่อยๆหยุดในระหว่างวัยแตกเนื้อหนุ่มสาว และเมื่ออีพิไฟเชียลเพลทปิดร่างกายก็จะหยุดสูง เด็กผู้หญิงจะเจริญเติบโตเร็วที่สุดเมื่ออายุประมาณ 11.5 ปีและหยุดโตเมื่ออายุประมาณ 18 ปี ในขณะที่เด็กผู้ชายจะเจริญเติบโตเร็วที่สุดเมื่ออายุประมาณ 13.5 ปีและหยุดโตเมื่ออายุประมาณ 20 ปี เด็กผู้ชายจึงมีช่วงเวลาที่จะโตมากกว่าผู้หญิงถึงสองปีและยังมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่ช่วยให้กระดูกเจริญเติบโตเร็วอีกด้วย

โภชนาการดีต้าน "เตี้ย"
   การรับประทานอาหารที่ครบถ้วนจึงมีผลต่อการสร้างเซลล์เนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ และกระดูกของเด็กซึ่งส่งผลต่อความสูง การดูแลเรื่องอาหารจึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม 

   1. นอกจากการรับประทานอาหารครบทุกหมู่แล้ว ในช่วงที่เด็กเข้าสู่วัยแตกเนื้อหนุ่มสาวควรเน้นอาหารที่จะช่วยเพิ่มส่วนสูงให้เพียงพอ เช่น โปรตีน แคลเซียม วิตามินดี และสังกะสี 

   2. เน้นกินอาหารประเภทโปรตีนเพื่อเพิ่มการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนซึ่งเป็นสารกระตุ้นความสูง และควบคุมการรับประทานอาหารไขมันสูงและน้ำตาลสูง ซึ่งมีผลทำให้ร่างกายลดการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน 

   3. พ่อแม่ไม่ควรตามใจให้รับประทานอาหารขยะหรืออาหารจานด่วนบ่อย เพราะทำให้เด็กอ้วน มีไขมันสะสมในร่างกายมาก ทำให้เด็กเป็นหนุ่มสาวเร็วกว่าวัย เช่น มีประจำเดือนเร็วขึ้น ซึ่งมีผลทำให้หยุดสูงเร็ว 

   4. เลือกอาหารว่างที่มีประโยชน์ เช่น ผลไม้ ผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนย แทนอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ เช่น ขนมขบเคี้ยวต่างๆ น้ำอัดลม น้ำหวาน และควรฝึกให้เด็กดื่มนมจืดอย่างน้อยวันละ 2 แก้ว ต่อวัน 

   5. การเตรียมอาหารว่างให้เด็กเล็ก ควรให้รับประทานอาหารว่างห่างจากมื้อหลักอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพราะหากเด็กรับประทานอาหารว่างจนอิ่มก็จะไม่อยากรับประทานอาหารมื้อหลัก ทำให้เป็นโรคอ้วนได้

ฝึกนิสัยเพิ่มฮอร์โมนช่วยสูง
   โกร๊ธฮอร์โมนเป็นเป็นสารที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและกระบวนการเมตาบอลิซึม ในปี 2003 องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกายอมรับการใช้โกร๊ธฮอร์โมนเพื่อเพิ่มความสูง แต่จะใช้ได้ผลเฉพาะในช่วงก่อนที่กระดูกจะหยุดการเจริญเติบโต หลังจากนั้นต้องใช้วิธีผ่าตัดเพิ่มความสูง นอกจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว การดูแลร่างกายให้มีการหลั่งสารโกร๊ธฮอร์โมนในช่วงที่เหมาะสมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้สูงขึ้นได้
ไม่ควรนอนดึกและต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากโกร๊ธฮอร์โมนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับความสูงจะเริ่มหลั่งมากที่สุดประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่หลับสนิทในเวลากลางคืน ดังนั้นเด็กที่นอนแต่หัวค่ำพักผ่อนเพียงพอจะมีโอกาสสูงมากกว่าเด็กที่นอนดึกและตื่นแต่เช้า
ควรฝึกให้เด็กออกกำลังกายในช่วงระหว่างแตกเนื้อหนุ่มสาว โดยเฉพาะกีฬาที่มีการยืดตัว เช่น ว่ายน้ำ บาสเก็ตบอล วอลเลย์บอลเพราะนอกจากจะช่วยบริหารกล้ามเนื้อได้ดี การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนด้วย

 

 



วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

...ทุกข์เพราะโง่...(หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)





ทั้งทั้งหลายในโลกที่เราได้พบ เห็นกันอยู่ทุกวันเวลานั้น
ถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความเขลา เราก็เป็นทุกข์
แต่ถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยปัญญา
เราก็จะไม่เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
เพราะการเปลี่ยนแปลงของสิ่งนั้นๆ
จึงเป็นเหตุให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ
จิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นเขาเรียกว่า มันเปลี่ยนหน้าตาไป

บางครั้งก็เป็นไปในทางดีใจ บางครั้งก็เป็นไปในทางเสียอกเสียใจ
ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งสองอย่าง
ดีใจมันก็เป็นทุกข์เหมือนกัน เสียใจก็เป็นทุกข์เหมือนกัน
แต่ว่าดีใจนั้นมันเป็นทุกข์ที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง
ส่วนเสียใจนั้นเป็นทุกข์เปิดเผย มองเห็นได้ทันท่วงที

ความดีใจนั้นมันเป็นทุกข์ภายหลัง เมื่อสิ่งที่เราดีใจนั้นสูญเสียไป
อันนี้เป็นเรื่องที่ปรากฏอยู่ที่จิตใจของท่านทั้งหลาย
ในรอบเดือนหนึ่งที่ผ่านมาเราจะพบว่ามีอะไรๆ เกิดขึ้น
ในชีวิตของเราหลายเรื่องหลายประการ
บางเรื่องก็เป็นอย่างหนึ่ง บางเรื่องก็เป็นไปอีกอย่างหนึ่ง
ซึ่งดูเหมือนว่าเราไม่ค่อยจะได้เอามาพิจารณาเท่าใดนัก
มักจะปล่อยให้มันผ่านพ้นไปตามเรื่องตามราว
เช่นความสุขเกิดขึ้นผ่านพ้นไป เราก็ให้มันผ่านพ้นไปเฉยๆ
ความทุกข์เกิดขึ้นเมื่อมันผ่านพ้นไปแล้ว ก็ผ่านพ้นไปเฉยๆ
อย่างนี้ไม่เกิดอะไรขึ้นในด้านปัญญา
คือ เราไม่ได้นำเรื่องนั้นมาพิจารณาว่าเกิดขึ้นจากอะไร
และเราควรจะทำใจของเราอย่างไร
เราไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองในเรื่องนั้นอย่างรอบคอบ
ก็ไม่เกิดปัญญาเพิ่มขึ้น อยู่อย่างใดก็เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดไป

แต่ถ้าหากว่าเราได้นำเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรา
มาพิจารณาเป็น เรื่องๆ ไป
เราก็จะเข้าใจเรื่องนั้นได้ถูกต้องมากขึ้น ได้ปัญญามากขึ้น
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนเราทั้งหลาย ให้อยู่ด้วยปัญญา
หมายความว่า ให้พิจารณาสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรา
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ได้เรื่องเสีย เรื่องความสุขความทุกข์
เรื่องความเสื่อมหรือความเจริญที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเราแล้ว
เราก็ต้องนำเรื่องนั้นมาพิจารณาไตร่ตรอง
เพื่อให้รู้ชัดเห็นชัดในเรื่องนั้นตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ

การรู้ชัดตามสภาพที่มันเป็นนั่นแหละ จะทำให้เราคลายปัญหาได้
และเราจะไม่สร้างปัญหาอะไรเพิ่มขึ้นอีกในวิถีชีวิตของเรา
เพราะว่าปกติคนเรานั้นมักชอบสร้างปัญหา
ทำปัญหาให้เกิดขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆ
เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ บางทีปัญหาเหล่านั้นมันซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เรื่อยไป
ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น นั่นก็เพราะว่าเราไม่ได้พิจารณาในเรื่องนั้นๆ
ไม่เอาเรื่องนั้นมาเป็นบทเรียนเป็นเครื่องสอนใจ
จึงได้สร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก

เหมือนคนโกรธแล้วโกรธอีก เกลียดแล้วเกลียดอีก
พยาบาทแล้วก็พยาบาทอีกเรื่อยไป ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้นกันเสียที
ก็เพราะว่าไม่ได้นำมาพิจารณา ว่าทำไมเราจึงได้โกรธ
ทำไมเราจึงได้เกลียด ทำไมเราจึงได้พยาบาทในบุคคลนั้น ในวัตถุนั้นๆ
แล้วเราก็ไม่ได้พิจารณาว่า ในเวลาเราโกรธนั้น
สภาพจิตใจเป็นอย่างไร มีความร้อนหรือมีความเย็นอย่างไร
เวลาเราเกลียด สภาพจิตใจเป็นอย่างไร
เราไม่ได้นำมาพิจารณาไตร่ตรอง
เพื่อให้รู้ชัดในเรื่องนั้นตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ
ก็เลยเผลอไปประมาทไปทำสิ่งนั้นบ่อยๆ
จนเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ไม่รู้ จักจบไม่รู้จักสิ้น
อันเป็นคำที่เราเรียกกันว่า ไม่รู้จักเข็ดหลาบ
ไม่รู้จักกลัวต่อสิ่งเหล่านั้น เพราะว่าเราไม่ได้นำมาพิจารณา
อันนี้เรียกว่าไม่ได้ปฏิบัติธรรมะนั่นเอง

การปฏิบัติธรรมะก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง
ในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเราอยู่บ่อยๆ
แม้เรื่องนั้นจะผ่านพ้นไปแล้ว เราก็นำมาพิจารณาด้วยปัญญาได้
การนำอะไรที่ผ่านพ้นไปแล้วมาพิจารณาด้วยปัญญานั้น
ไม่เป็นเรื่องเสียหาย แต่ถ้าเรานำมาพิจารณาด้วยความเขลา
คือ ไม่ได้พิจารณา นำมานั่งคิดนั่งนึกกลุ้มอกกลุ้มใจ
มีความวิตกกังวลด้วยปัญหาอะไรต่างๆ
ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในจิตใจของเราบ่อยๆ
ญาติโยมทุกคนคงจะเป็นอย่างนั้น เช่นมีความเสียใจไม่รู้จักจบ
มีความโกรธไม่รู้จักจบ มีความเกลียดอะไรในเรื่องของใครๆ
ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น อย่างนี้เรียกว่าเราไม่ได้พิจารณา
แต่ว่าเรานำเรื่องนั้นมาคิดเท่านั้นเอง
มาคิดด้วยความอาลัย คิดด้วยความโง่ความเขลา
เมื่อเราคิดด้วยความโง่ความเขลามันก็สร้างปัญหาขึ้นมาในจิตใจของเรา

แต่ถ้าเราคิดด้วยปัญญา จะไม่สร้างปัญหา
แต่เป็นการคลายปัญหานั้นให้หมดไป
คำที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า “อย่าคิดถึงสิ่งที่ล่วงแล้วด้วยอาลัย”
การคิดถึงอะไรที่ล่วงมาแล้วด้วยความอาลัย
หมายความว่า ด้วยความเสียดายในเรื่องนั้นๆ
เราจะมีความทุกข์ในเรื่องนั้น การคิดอย่างนั้นไม่ถูกต้อง
แต่ถ้าเรานำมาคิด เพื่อให้เกิดปัญญา
เรียกว่า เอามาวิเคราะห์วิจัยในเรื่องนั้นให้รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร
อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง อย่างนี้ไม่เป็นเรื่องเสียหาย
แต่เป็นเรื่องที่จะช่วยให้เราหูตาสว่าง มีจิตใจสว่างขึ้นด้วย



โดยพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี